คลื่นผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา เป็นบททดสอบนโยบายแรงงานอพยพของไทย

แม้เศรษฐกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงงานข้ามชาติ ทว่า จำนวนผู้อพยพที่ทะลักเข้าชายแดนไทยก็สร้างความวิตก
พอล เอ็คเกิร์ท สำหรับเรดิโอฟรีเอเชีย
2025.01.27
คลื่นผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา เป็นบททดสอบนโยบายแรงงานอพยพของไทย หญิงชาวเมียนมาอุ้มลูก ขณะข้ามจุดตรวจชายแดนจังหวัดตาก ที่อำเภอแม่สอด วันที่ 11 เมษายน 2567
เอเอฟพี

การส่งตัวนักเคลื่อนไหวชนกลุ่มน้อยชาวเวียดนาม ผู้ถูกละเมิดสิทธิกลับประเทศต้นทาง รวมทั้งข่าวการส่งคนอุยกูร์จำนวน 48 คน ที่ถูกกักตัวอยู่ในประเทศไทยกลับประเทศจีน เริ่มทำให้รัฐบาลไทยตกเป็นเป้าความสนใจอย่างรุนแรง

ทว่า คลื่นผู้ลี้ภัยสงครามมหาศาลจากเมียนมา ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่สำหรับนโยบายที่ค่อนข้างเอื้ออาทรต่อผู้อพยพของไทย

ชาวอุยกูร์พยายามหลบหนีการถูกปราบปรามจากทางการจีน โดยใช้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นช่องทางในการลี้ภัย และส่วนหนึ่งได้ถูกกักตัวอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2557 พวกเขาอ้างว่า ตนเองรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกรัฐบาลไทยส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน และได้อดอาหารประท้วงเพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพร่างกายที่อิดโรย

ด้าน อี ควิน เบอดั๊บ นักเคลื่อนไหวชาวมองตานญาด ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศเวียดนาม ผู้ที่ทางการเวียดนามต้องการให้รัฐบาลไทยส่งตัวกลับ เพื่อนำไปรับโทษในข้อหาการก่อการร้าย ก็ได้ปฏิเสธว่า เขาไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับการบุกรุกโจมตีสำนักงานสาธารณะ 2 แห่ง ในบริเวณที่ราบสูงตอนกลาง จังหวัดดั๊กลัก ประเทศเวียดนาม ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 คน ในปี 2566

พ.ต.อ. คธาธร คำเที่ยง โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองชี้แจงว่า รัฐบาลไทย “ไม่มีแผน” ที่จะส่งตัวคนอุยกูร์จำนวน 48 ราย กลับประเทศต้นทาง ในขณะที่เบอดั๊บเองก็ยังไม่ถูกส่งตัวกลับเวียดนาม แม้ศาลอาญาจะพิพากษาว่า เขาควรจะถูกส่งตัวกลับประเทศเวียดนามเพื่อรับผิดตามข้อกล่าวหา

กรณีการคุกคามนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนที่โจษจันกันอยู่นี้ ได้ดำเนินอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การกดปราบที่รุนแรงกว่านั้นเนื่องจากผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาหลายแสนรายได้หลบหนีเข้ามาหาที่พักพิงอยู่ในประเทศไทย หลังจากที่รัฐบาลทหารเมียนมาทำรัฐประหารเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ผู้ที่ช่วยเหลือผู้อพยพกลุ่มนี้กล่าวว่า ชาวเมียนมาที่พลัดถิ่นเข้ามาในประเทศไทย รวมกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวเมียนมาที่ต้องการงานและความปลอดภัย เนื่องจากสงครามกลางเมืองที่ยังไม่จบสิ้นในประเทศของพวกเขา ย่างเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว

ซึ่งชาวเมียนมาหลายรายถูกจับกุม ส่งตัวกลับประเทศโดยไม่สมัครใจ และต้องถูกจับกุมตัวอีกครั้งในเมียนมา ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทยก็เริ่มจัดการการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ลี้ภัยโดยการเข้มงวดเรื่องนโยบายการลงทะเบียนแรงงานต่างชาติและตรวจสอบอย่างคุมเข้มมากขึ้น

"แต่ละชาติเขาก็มีความเสี่ยงที่คล้าย ๆ กัน แต่กับเมียนมา จะมีความเสี่ยงทั้งกลุ่มที่เป็นฝ่ายการเมืองตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร และกลุ่มที่เป็นแรงงานทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งถ้าหากถูกส่งกลับก็อาจต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารไปสู้รบเสี่ยงต่อชีวิต" โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติแห่งประเทศไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์

นครเมกกะสำหรับผู้ลี้ภัย

แม้ว่ากลุ่มผู้เคลื่อนไหวเพื่อแรงงานและสิทธิมนุษยชนจะประณามทางการไทย ทว่า รัฐบาลได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสหประชาชาติและองค์กรอื่น ๆ จากการเป็นแหล่งพักพิงให้กับผู้อพยพสัญชาติอื่นกว่า 5 ล้านราย

“เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ค่อนข้างเฟื่องฟูและมีระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง จึงกลายเป็นแหล่งดึงดูดผู้ลี้ภัยหลายล้านราย จากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration -  IOM) ระบุ

ประเทศไทยมิได้ลงนามในอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 จึงไม่ได้รับรองผู้ลี้ภัย เท่ากับว่าประชากรจากประเทศเพื่อนบ้านผู้กำลังแสวงหาที่พักพิงเพื่อความปลอดภัยนั้นอาจต้องเผชิญกับการถูกกักตัวหรือส่งตัวกลับประเทศต้นทาง

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นฐานที่มั่นด้านมนุษยธรรมขององค์กรสหประชาชาติและเหล่านักเคลื่อนไหวผู้ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในภูมิภาคนี้

“ตั้งแต่ดั้งเดิม ประเทศไทยได้รองรับผู้อพยพจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านกว่าแสนราย ที่เดินทางหลบหนีออกจากประเทศของตนเองเนื่องจากภัยสงคราม ความขัดแย้งภายใน หรือความไร้เสถียรภาพ” องค์กรไอโอเอ็มระบุในแถลงการณ์

migrant-labor-refugees 2.jpeg
“คายอิน” อดีตครูจากขบวนการต่อต้านการกดขี่ข่มเหงในเมียนมา ขณะพับผ้าที่บ้านของเธอ ในกรุงเทพฯ วันที่ 4 มิถุนายน 2567 หลังจากหนีออกจากประเทศเมียนมาเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร (ลิเลียน สุวรรณรัมภา/เอเอพี)

 

ตั้งแต่ปี 2559 ประเทศไทยรับหลักการห้ามผลักดันกลับ (Non-Refoulement) นั่นคือการไม่ส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่พวกเขาอาจมีความเสี่ยงในการถูกทรมานหรือปราบปรามด้วยวิธีการรุนแรงอื่น ๆ

ทว่า ในทางปฏิบัติ กรณีผู้ลี้ภัยการเมืองที่ละเอียดอ่อน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐเผด็จการในประเทศเพื่อนบ้านที่แตกต่างกันออกไป ทั้งประเทศไทยยังให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศนั้น ๆ ดำเนินการกับผู้เห็นต่างทางการเมืองชาวเวียดนาม ลาว หรือกัมพูชา ของเขา

ไทย เป็นประเทศที่มีรายได้อยู่ในระดับปานกลาง มากกว่า 1 ใน 5 ของประชากร 67 ล้านคน เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และมีอัตราการเกิดต่ำ รวมถึงกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ย่อมมีความต้องการแรงงาน

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย เราจำเป็นต้องพึ่งพาภาคแรงงาน ดังนั้นจึงต้องรักษาความสมดุลระหว่างการจ้างงานคนสัญชาติไทยให้มีงานทำ และบริหารจัดการการทำงานของแรงงานข้ามชาติ ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ สามารถขับเคลื่อนกิจการทั้งภาคการผลิต ภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวกับสื่อมวลชนในเดือนธันวาคม

ด้านประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องการอาชีพและเงินเพื่อดำรงชีพ โดยประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมาเป็นประเทศที่มีฐานะยากจนกว่าและมีชายแดนติดอยู่กับประเทศไทย แต่ประชากรในประเทศต้องทุกข์ทนอยู่กับสงคราม ความรุนแรงทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ซบเซาเป็นระยะเวลายาวนานจนถึงปัจจุบัน จึงส่งผลให้ “ประเทศไทยเป็นประเทศที่รับแรงงานจำนวนมหาศาลไว้ในประเทศ” ไอโอเอ็มระบุ

รัฐบาลลาวชี้แจงว่า ในปี 2566 แรงงานต่างชาติจำนวน 400,000 ราย โอนเงินกลับเข้าประเทศมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในประเทศไทย

ด้านไอโอเอ็มได้รายงานเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า มีผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยราว 5.3 ล้านราย พำนักอยู่ในประเทศไทย ณ เดือนธันวาคม 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 4.9 ล้านราย เมื่อ 5 ปีก่อน

กระทรวงแรงงานไทยระบุว่า ชาวเมียนมากว่า 3 ล้านราย อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ณ เดือนมีนาคม 2567 ในขณะที่แรงงานชาวลาวกว่า 286,000 ราย ทำงานอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ณ เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนชาวกัมพูชาลงทะเบียนจำนวน 460,000 ราย ณ เดือนมกราคม 2567 ซึ่งกระทรวงแรงงานกัมพูชาเผยว่า เมื่อปีที่ผ่านมามีจำนวน 1.2 ล้านราย

migrant-labor-refugees 3.jpeg
นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเวียดนาม อี ควิน เบอดั๊บ ในภาพถ่ายที่ไม่ได้ระบุวันที่ (อี ควิน เบอดั๊บ/เฟซบุ๊ก)

ไอโอเอ็ม รายงานว่า ผู้อพยพมากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ลี้ภัย 5.2 ล้านราย ที่คาดว่าอาศัยอยู่ในประเทศไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2567 ต้องตกอยู่ในสภาวะ “ไม่ปกติ” เนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยันอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่ได้รับการลงทะเบียนไว้ในระบบสถิติของกระทรวงฯ

โดยนักเคลื่อนไหวเพื่อผู้ลี้ภัยให้ข้อมูลว่า กลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านี้ต้องประสบกับความยากลำบากจากการถูกเอารัดเอาเปรียบในด้านต่าง ๆ เช่น ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ต้องทำงานล่วงเวลา หรือต้องทำงานภายใต้สภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย รวมถึงถูกค้ามนุษย์ไปยังศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในบริเวณชายแดนที่ติดอยู่กับประเทศเพื่อนบ้าน

แห่หนีเพราะกลัวถูกเกณฑ์ทหาร

นักเคลื่อนไหวเพื่อผู้ลี้ภัยกล่าวว่า ส่วนที่น่ากลัวของการปราบปรามผู้ลี้ภัยที่หนีสงครามจากเมียนมามาอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย คือนโยบายที่รัฐบาลทหารเมียนมาและไทยบังคับใช้ในปี 2567

หลังจากที่กองกำลังชาติพันธุ์เริ่มบุกโจมตีทั่วบริเวณภาคเหนือในปลายปี 2566 ส่งผลให้รัฐบาลเผด็จการเมียนมาเริ่มสั่นคลอนจากการแพ้รบ เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา ทางการเมียนมาจึงได้ออกกฎหมายเกณฑ์ทหารครั้งใหญ่เพื่อเสริมกองกำลังทัพเนื่องจากได้สูญเสียกำลังทหารจากการรบกับกองกำลังกบฏหลายฝ่ายที่ต่อต้านการทำรัฐประหาร

ประชากรวัยหนุ่มจำนวนมากรู้สึกหวั่นเกรงว่าจะถูกเกณฑ์ทหาร จึงอพยพผ่านชายแดนไทยเมื่อปี 2567 จนทำลายสถิติผู้อพยพเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายรายปีสูงสุด สถานการณ์ดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการประท้วงต่อต้านผู้ลี้ภัยจากหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมถึงการจับกุมคลื่นผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่อพยพข้ามชายแดนมาอย่างผิดกฎหมาย

กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อผู้ลี้ภัย ผู้ติดตามการปราบปรามแรงงานต่างชาติที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายเป็นระยะเวลา 120 วัน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนกล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบให้เกิดการจับกุมผู้ลี้ภัยกว่า 300,000 ราย รวมประชากรชาวเมียนมาราว 210,000 ราย

“เมื่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายต้องกลับประเทศเนื่องจากถูกเรียกเกณฑ์ทหาร นั่นเท่ากับว่า ประชากรราว 1 แสนคน ถูกจับกุม” มิน อู (Min Oo) เจ้าหน้าที่ด้านแรงงานจากมูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาเผย

migrant-labor-refugees 4.jpeg
ชาวเมียนมาข้ามแม่น้ำเมย ที่ชายแดนไทย-เมียนมา วันที่ 11 เมษายน 2566 (กองทัพบกไทย/เอเอฟพี)

ซา จ่อ (Thar Kyaw) ผู้นำสมาคมสวัสดิการเพื่อการสงเคราะห์งานศพสำหรับตนเอง (Self Administrated Funeral Welfare Association) ให้ข้อมูลว่า ทางการไทยปล่อยตัวผู้ลี้ภัยออกจากเรือนจำในจังหวัดระนอง  ซึ่งอยู่ติดบริเวณภาคใต้ตอนล่างของประเทศเมียนมา ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากว่า 800 ราย ถูกส่งตัวกลับไปเพื่อถูกเรียกเกณฑ์ทหารจากรัฐบาลเผด็จการเมื่อปีที่ผ่านมา

ชาวบ้านจังหวัดระนองเผยว่า ชายหนุ่มชาวเมียนมาที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี จะถูกส่งตัวไปยังฐานทหาร 3 แห่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองตะนาวศรี รวมถึงผู้พิการก็ถูกจับตัวไปเพื่อเรียกค่าไถ่จากครอบครัวของพวกเขาเช่นกัน

“การเนรเทศชาวเมียนมากลับประเทศต้นทางถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และถือเป็นการส่งตัวพวกเขาให้กับรัฐบาลผู้กดขี่อย่างโจ่งแจ้ง” ซา จ่อ กล่าวกับเรดิโอฟรีเอเชีย

ปรับนโยบายไทยให้เข้มงวด

จำนวนผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่พุ่งขึ้นสูงกระตุ้นมาตรการทางกฎหมายด้านอื่น ๆ ของประเทศไทย เช่น การจำกัดจำนวนผู้สมัครวีซ่ารายวัน ณ สถานทูตไทย การยกเลิกการต่ออายุวีซ่าและโควตานักศึกษามหาวิทยาลัยชาวเมียนมา รวมไปถึงการตรวจสอบและปิดโรงเรียนสำหรับแรงงานผู้ลี้ภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ของไทย

“แม้ว่าเราจะจ่ายภาษีให้กับทางการไทยตามกฎหมาย เราก็ยังคงรู้สึกว่าถูกด้อยค่า แล้วเราก็กำลังอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่ที่กลายเป็นผู้ลี้ภัยที่อยู่อาศัยในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายอยู่ตลอดเวลา” ออง จอ (Aung Kyaw) นักศึกษามหาวิทยาลัยชาวเมียนมาในจังหวัดเชียงใหม่เผย

โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติแห่งประเทศไทย (Migrant Working Group - MWG) ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยต้องการแรงงานชั่วคราว แต่ไม่ต้องการให้ชาวเมียนมาผู้ลี้ภัยจากสงครามอยู่ที่นี่แบบถาวร

“พวกเขาจึงทำให้กระบวนการในการสมัครเพื่อได้สถานะผู้ลี้ภัยหรือได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมายเข้าถึงยาก”

รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการปรับปรุง “ระบบ MOU” ซึ่งใช้ในการบริหารจัดการการจ้างงานแรงงานข้ามชาติผ่านบันทึกความเข้าใจร่วมกันแบบทวิภาคีระหว่างประเทศเมียนมา กัมพูชา ลาว และประเทศอื่น ๆ ให้ลงตัว

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า “ หากเราต้องการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ เราต้องพิจารณาโอกาสในการจ้างงานสำหรับคนไทย ความมั่นคงของประเทศชาติ และการป้องกันไม่ให้เกิดการค้าแรงงานหรือบังคับใช้แรงงานด้วย” เขาจึงเรียกร้องให้สถานประกอบการที่เป็นผู้ว่าจ้างแรงงานข้ามชาติ ต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานเหล่านี้ที่กำลังจะหมดอายุในเดือนกุมภาพันธ์ มิเช่นนั้นธุรกิจจะต้องเผชิญกับ “การดำเนินการทางกฎหมายกับแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด รวมถึงแรงงานข้ามชาติรายอื่น ๆ นายจ้าง และสถานประกอบการ"

กลุ่มแรงงานและนักเคลื่อนไหวจากลาวและเมียนมา เผยกับเรดิโอฟรีเอเชีย ว่า ต้นทุนในการดำเนินกระบวนทางกฎหมายที่สูง ซึ่งโดยมากจะต้องรวบรวมมาจากค่าจ้างหลายเดือนด้วยกัน และระยะเวลาในการรอคอยใบอนุญาตการทำงานที่ยาวนานตามระบบ MOU จะส่งผลให้แรงงานเหล่านี้พยายามเดินทางเข้าประเทศไทยและทำงานแบบผิดกฎหมาย ซึ่งแรงงานผิดกฎหมายเหล่านั้น มักสร้างผลกำไรมากขึ้นให้กับการค้ามนุษย์

migrant-labor-refugees 5.jpeg
ชาวเมียนมาเดินทางเข้าไทย ที่อำเภอแม่สอด ด่านชายแดนจังหวัดตาก วันที่ 10 เมษายน 2567 (เอเอฟพี)

 

เพียว โค โค (Phyo Ko Ko)  แรงงานถูกกฎหมายของโรงงานเย็บผ้าในประเทศไทย กล่าวกับเรดิโอฟรีเอเชียว่า ตอนนี้รัฐบาลทหารเมียนมาก็มาดำเนินการเก็บภาษีจากรายได้ของแรงงานข้ามชาติที่ลงทะเบียนอีก ซึ่งก็มีผลกระทบกับรายได้ของเธออีกต่อหนึ่ง

“แรงงานได้แค่ค่าแรงขั้นต่ำ แล้วเราก็ยังใช้เงินจำนวนนี้ไปกับการทำเรื่องขอวีซ่าและเอกสารทางกฎหมายตลอดทั้งปีด้วย” เธอเอ่ย

สื่อไทยรายงานว่า แรงงานข้ามชาติอาจคาดหวังกับพัฒนาการในมาตรการบางประเด็นได้ เช่น คณะรัฐมนตรีไทยอนุมัติให้สัญชาติกับคนไร้รัฐ จำนวนเกือบครึ่งล้าน ในเดือนตุลาคม รวมถึงการให้สัญชาติกับเด็กที่เกิดในประเทศไทย หรือแรงงานที่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะเวลายาวนานเกิน 10 ปี หรือวีซ่าสำหรับผู้ที่ทำงานด้านดิจิทัล การแพทย์ หรือวัฒนธรรม

ถึงแม้ว่าจะเกิดการประท้วงและการปราบปรามในปี 2567 โรยทราย ยืนยันว่า ประเทศไทยยังยึดถือความสำคัญทางเศรษฐกิจมาเป็นลำดับแรกเช่นเดิม และความจำเป็นในการรับแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศมาในช่วงโรคระบาดโควิด19 ก็ยังเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ประเทศไทยจะไม่อยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนแรงงาน

แม้กระทั่งนักวิจารณ์หรือนักเคลื่อนไหวก็ยังทำงานภายใต้ความเข้าใจที่ว่า “ไทยยังเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่รองรับแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัยจากสงคราม ผู้แสวงหาที่พักพิง และผู้อพยพจำนวนมาก”

นนทรัฐ ไผ่เจริญ และ จรณ์ ปรีชาวงศ์ จากเบนาร์นิวส์, เรดิโอฟรีเอเชียเมียนมา และ พูวง จาก เรดิโอฟรีเอเชียลาวรายงาน

เรดิโอฟรีเอเชีย เป็นสำนักข่าวออนไลน์ ร่วมเครือเบนาร์นิวส์

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง