รัฐบาลเดิมยังเถลิงอำนาจ แม้ผลเลือกตั้งต้องการความเปลี่ยนแปลง

การเลือก นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยในสัปดาห์นี้ ยุติความไม่แน่นอนในสังคมไทย หลังการเลือกตั้งที่จบไปหลายเดือนแล้ว ทว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

ขณะที่ประเทศไทยผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญมาแล้ว โดยผลลัพธ์ที่ออกมาแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า รัฐบาลชุดเก่าพยายามยึดอำนาจเดิม ในขณะที่ได้ทำลายความหวังของพลเมืองหลายล้านคน ที่ต้องการรัฐบาลที่ก้าวหน้าและเป็นประชาธิปไตย

นักการเมืองมือใหม่ ในวัย 61 ปี ซึ่งได้รับ การโหวตให้เป็นนายกฯ เมื่อวันอังคาร ต้องเผชิญกับภารกิจที่ยุ่งยากในการจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคเพื่อไทยของเขามีจำนวนสมาชิกมากกว่าคู่แข่งจากรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังจะหมดวาระ หลังจากเป็นผู้นำรัฐประหารเมื่อปี 2557 โค่นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายเศรษฐา ในฐานะเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ได้ “เข้าเยี่ยมเยียน” พลเอก ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล ในกรุงเทพฯ ซึ่งทั้งคู่หารือกันถึงการก้าวข้ามความขัดแย้งที่สร้างความแตกแยกในประเทศ ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

“คงเป็นเรื่องยากที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งมีอยู่ในหลายภาคส่วน การพบปะเพียงหนเดียวแล้วทุกอย่างจะจบไป คงลำบาก แต่ต้องให้เวลา” นายเศรษฐา ผูกเน็คไทสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ไทย กล่าว

นักวิเคราะห์ระบุว่า ความสามารถของนายกรัฐมนตรีใหม่ในการลบล้างความแตกแยกในรัฐบาลยังคงเป็นสิ่งที่ยากเมื่อพิจารณาถึงบทบาทและอิทธิพลของเขาในพรรคเอง นายเศรษฐา เพิ่งเข้าสู่วงการการเมืองเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างสมาชิกในพรรคของเขาเอง และแม้กระทั่งรัฐมนตรีจากพรรคอื่น ๆ ในคณะรัฐมนตรีของเขา

นายเติมศักดิ์ เฉลิมพลานุภาพ ผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษา จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ยูซอฟ อิสฮะก์ แห่งประเทศสิงคโปร์ ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลของนายเศรษฐาอาจต้องล่มสลาย หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก พรรคคู่แข่งทั้ง 3 พรรค ได้แก่ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ

“เขาสามารถถูกลงมติไม่ไว้วางใจได้ง่าย ๆ ในสภาผู้แทนราษฎร หรือพูดง่าย ๆ คือเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่อ่อนแอเหมือนกับยิ่งลักษณ์” นายเติมศักดิ์ ระบุ

การปรับปรุงเศรษฐกิจและจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นจุดเน้นในการสื่อสารทางการเมืองของนายเศรษฐา และในวันศุกร์ที่ผ่านมา เขาได้ระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจทั้งหมด โดยสภาผู้แทนราษฎรคาดว่าจะเริ่มตรวจสอบคุณสมบัติของรัฐมนตรีในช่วงต้นสัปดาห์หน้าแล้ว

แต่การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคและการสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของผู้นำชั้นสูง รวมถึงฝั่งทหาร จะต้องใช้ความชำนาญในการจัดการเป็นอย่างดี

ในฐานะชนกลุ่มน้อยในรัฐบาลของตนเอง พรรคเพื่อไทยอาจจะพบปัญหาในการขับเคลื่อนข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปทางการเมืองและรัฐธรรมนูญ ดังที่นายเคน เมธิส โลหเตปานนท์ นักวิจัยด้านการเมืองไทยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้กล่าวไว้

“พรรคเพื่อไทยได้ให้สัญญาเรื่องนโยบายหลายประการในช่วงก่อนเลือกตั้ง รวมถึงการแจก 'เงินดิจิทัล' จำนวน 10,000 บาทให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐาก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ” เคน เมธิส ระบุ

“ประการแรกที่เขาต้องเผชิญคือ เขาไม่มีฐานอำนาจอิสระที่แท้จริง และไม่มีประสบการณ์ในตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้ง ประการที่สองคือ พรรคเพื่อไทยอาจต้องยอมสละอำนาจด้านการบริหารหลายกระทรวงให้แก่สมาชิกในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอาจจะทำให้พรรคมีขอบเขตในการดำเนินนโยบายที่น้อยลง”

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการครั้งสุดท้ายในฐานะนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ ได้เป็นประธานในคณะกรรมการ 7 คน เพื่อคัดเลือกผู้บัญชาการทหารคนใหม่ในสัปดาห์นี้ รวมทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพอากาศ

“พรรคเพื่อไทย หรือนายเศรษฐาได้พลาดโอกาสในการสร้างหนี้บุญคุณผ่านการแต่งตั้งตำแหน่งทางทหารที่สำคัญ” นายเติมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

'ยิ่งกว่าการตระบัดสัตย์'

การปฏิบัติตามคำสัญญานโยบายจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพรรคเพื่อไทยในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ หลังจากที่ถอนตัวจากพรรคก้าวไกล ซึ่งได้รับสิทธิส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรจาก การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม

TH-politics-2.JPG
Pheu Thai's Srettha Thavisin receives a royal endorsement at the party headquarters in Bangkok Pheu Thai Party's Srettha Thavisin receives a royal endorsement to become Thailand's 30th Prime Minister at the party headquarters after the parliament voted in favour of his prime ministerial candidacy, in Bangkok, Thailand, August 23, 2023. Pheu Thai Party/Handout via REUTERS ATTENTION EDITORS - THIS IMAGE WAS PROVIDED BY A THIRD PARTY. NO RESALES NO ARCHIVE. (PHEU THAI PARTY/via REUTERS)

นายเศรษฐา ทวีสิน คุกเข่าหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30ของไทย ที่สำนักงานใหญ่พรรคเพื่อไทย กรุงเทพฯ วันที่ 23 สิงหาคม 2566 (พรรคเพื่อไทย/รอยเตอร์)

ที่ผ่านมานโยบายทางการเมืองที่ก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล รวมถึงคำสัญญาที่จะปฏิรูปกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้ทำให้นักการเมืองที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ในสภาผู้แทนราษฎร รู้สึกไม่พอใจ และได้ปฏิเสธการเสนอชื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค เพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้ง

พรรคเพื่อไทยระบุว่า คำสัญญาในการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลที่จะแก้ไขกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือที่รู้จักว่า "มาตรา 112" ได้ทำให้พรรคไม่สามารถจะได้รับการสนับสนุนที่สมควรในการจัดตั้งแนวร่วมรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การที่ในเวลาต่อมาพรรคเพื่อไทยได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเคยให้สัญญาว่าจะไม่ทำข้อตกลงด้วย ทำให้นักวิเคราะห์และผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่งมองว่า พรรคเพื่อไทยได้ทำลายชื่อเสียงของตัวเองในระยะยาว

ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จำนวน 1,310 คน พบว่ามีผู้ไม่เห็นด้วยกับ "รัฐบาลพิเศษ" ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยที่ร่วมกับพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากทหารถึง 64 เปอร์เซนต์

“ผมคิดว่าตอนนี้พรรคเพื่อไทยจะถูกบังคับให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะพรรคอนุรักษ์นิยมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หลังเสียสถานะของพรรคที่เคยต่อต้านอำนาจเก่าของประเทศให้กับพรรคก้าวไกล” เคน เมธิส กล่าว

พรรคเพื่อไทยสัญญาว่าจะไม่แตะต้องกฎหมายมาตรา 112 และความจงรักภักดีที่ ทักษิณ ชินวัตร ถวายต่อกษัตริย์ โดยการเดินทางกลับประเทศไทย หลังจากลี้ภัยเป็นเวลานานในสัปดาห์นี้ ได้ยืนยันถึงการสนับสนุนสถาบันหลักของประเทศ

หลังจากเครื่องลงจอดที่กรุงเทพฯ นายทักษิณ ได้ออกจากอาคารจอดเครื่องบินส่วนตัว เพื่อวางพวงมาลาและกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา จากนั้นเขาก็ถูกพาตัวเข้าคุก ซึ่งที่นั่นเขามีสิทธิ์ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้

การที่ นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับมาถึงประเทศในวันเดียวกับการลงโหวตในรัฐสภาเพื่อเลือก นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการเจรจาลับ ซึ่งมีผลต่อการกลับมาของเขา

นายทักษิณถูกขับจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการทำรัฐประหารในปี 2549 และหลบหนีออกจากประเทศไทยในปี 2551 เพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุกจากข้อกล่าวหาว่าเป็นการใช้อำนาจมิชอบทางการเมือง แต่แม้จะลี้ภัยไปต่างแดน แต่มหาเศรษฐีด้านโทรคมนาคมอย่างเขา ก็ยังคง ทรงอิทธิพลในประเทศไทย รวมถึงพรรคเพื่อไทย

TH-politics-3.JPG
An anti-government protester, part of a group that guards a barricade, stands next to burning tires near the Victory monument in Bangkok An anti-government protester, part of a group that guards a barricade, stands behind burning tires near the Victory monument in Bangkok May 18, 2010. Thai anti-government protesters agreed on Tuesday to enter talks brokered by lawmakers to end a crisis threatening to tear the country apart, but analysts doubt the negotiations would gain much ground or stop the violence. REUTERS/Jerry Lampen (THAILAND - Tags: CIVIL UNREST POLITICS) (Jerry Lampen/REUTERS)

ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลยืนอยู่หลังกองยางรถยนตร์ที่ถูกเผา ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในกรุงเทพฯ วันที่ 18 พฤษภาคม 2553 (เจอร์รี แลมเพน/รอยเตอร์)

' เกินกว่าการทรยศ '

สำหรับผู้สนับสนุนนายทักษิณหลายคน ซึ่งรู้จักกันในนาม “คนเสื้อแดง” ตามสีของเสื้อที่พวกเขาสวมใส่ การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยในการร่วมมือกับพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากทหารถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างยิ่ง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ นักเคลื่อนไหว และอดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งมีส่วนร่วมในการประท้วงต่อต้านรัฐบาลระหว่างปี 2552 ถึง 2553 กล่าวว่า เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นวิธีแก้ปัญหาหลังการเลือกตั้งจบลงเช่นนี้

“ผมว่ามันเกินกว่าคำว่า หักหลังหรือทรยศ... การต่อสู้นี้ [ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณและกองทัพทหารในปี 2552-53] มีความตายร่วมร้อยชีวิต บาดเจ็บสองพัน สูญสิ้นอิสรภาพนับไม่ถ้วน การกระทำอย่างนี้มันเกินกว่าคำว่า ทรยศกันเสียด้วยซ้ำ” นายจตุพรกล่าว

“มีข้อสงสัยตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจได้ ว่าสมคบคิดกัน แต่ว่าพยานหลักฐานและใบเสร็จ มันมาออกในวันที่ 22 สิงหา 2566 เพราะฉะนั้นเชื่อว่ามีอีกหลายเรื่องที่ผมเคยพูดเอาไว้ว่า ก่อนหน้านี้ก็มีเพื่อไทยเพื่อการละคร ก็มี คสช. เพื่อการละคร [คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง]”

ตอนนี้ ประชาชนที่สนับสนุนประชาธิปไตยถูกหลอก นายจตุพร ที่เป็นอดีต สส. พรรคเพื่อไทย กล่าว

“ผมในฐานะอดีตประธาน นปช. เป็นผู้นำของขบวนการคนเสื้อแดงมายาวนาน ไม่คาดคิดว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้”