ประยุทธ์ฐานะนายกฯ 'คืนความสุข’ ให้ชาวไทยจริงไหม คนส่วนใหญ่บอก 'ไม่จริง'
2023.07.13
กรุงเทพฯ และเชียงใหม่
เกือบทศวรรษแล้วที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา งัดเครื่องมือทุกชนิดที่มีออกมาใช้ เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นรวมไปถึงการเขียนเพลงร่ายความซาบซึ้งทิ้งท้ายว่า จะคืนความสุขให้กับประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม
แต่ทั้งนักสังเกตุการณ์และประชาชนไทยมีความเห็นว่า แม้ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งทรงอำนาจในฐานะผู้บัญชาการทหารบก และผู้นำการรัฐประหารในปี 2557 แต่วาระในการเป็นรัฐมนตรีของประยุทธ์จะถูกจดจำในทางที่ไม่ดีเสียเป็นส่วนมาก ทั้งการทอดทิ้งความเป็นประชาธิปไตยแบบไม่เหลือซาก, ปราบปรามผู้ที่มีความเห็นต่าง หรือการยกระดับการจับกุมผู้เห็นต่างที่ถูกกล่าวหาว่าสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เหตุการณ์เหล่านี้กลบทับความนิยมใด ๆ ก็ตามในตัวประยุทธ์ที่อาจจะได้รับในหมู่คนไทย ทั้งอารมณ์ขันแปร่ง ๆ การแต่งเพลง และจังหวะการปล่อยเพลงในช่วงเวลาที่อาจจะไม่ได้จังหวะ เช่น การออกมาร้องเพลงรัก ในช่วงที่มีการรณรงค์หาเสียงปี 2562
ประชาชนชาวไทยแสดงออกถึงความไม่พอใจในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติของประยุทธ์แถลงชะตากรรมของเขาอย่างเศร้าโศกเป็นจริงเป็นจัง ก่อนที่ประยุทธ์จะประกาศวางมือทางการเมืองในวันอังคารถัดมาเสียอีก
เคน เมธิส โลหเตปานนท์ นักวิจัยสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกนให้ความเห็นว่า ปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงต่อการครองตำแหน่งของประยุทธ์สะท้อนให้เห็นจากการที่พรรคอนาคตใหม่ พรรคคู่แข่ง ชนะการเลือกตั้งด้วยจำนวนเก้าอี้ที่มากกว่าแบบถล่มทลาย
“[เมื่อถามว่า จดจำอะไรได้บ้างในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของประยุทธ์] กลุ่มผู้ต่อต้านประยุทธ์ จะมองไปที่ความถดถอยของประชาธิปไตยและเสรีภาพในการแสดงออก เศรษฐกิจเป็นพิษ และการเล่นตลกของเขา” เคน กล่าวกับเบนาร์นิวส์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย เดินข้าง ๆ คัตเอาท์รูปตนเองระหว่างเตรียมงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ วันที่ 12 มกราคม 2561 (อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา/รอยเตอร์)
9 ปีในตำแหน่งแห่งการเริ่มต้นที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของประยุทธ์
ประยุทธ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยการแต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หลังจากที่กองทัพยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนที่ได้มาจากการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2557 เขาเคยลั่นไว้ว่าการปฏิวัติมีจุดประสงค์เพื่อยุติการนองเลือดของการประท้วงและควบคุมการคอร์รัปชันของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จากนั้น ประยุทธ์ค่อย ๆ ดำเนินการเปลี่ยนแปลงเพื่อถ่ายเทอำนาจให้กับฝ่ายทหารและตนเองทีละเล็กละน้อย
ในปี 2560 รัฐบาลทหารของประยุทธ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ระบุว่าบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจำเป็นที่จะต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบที่มากพอจาก สมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา ดังนั้นประยุทธ์จึงรวบรวมเสียงของส.ว. ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนรอยัลลิสต์เหมือนกับตนเอาไว้
หลังจากที่มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ในประเทศไทย พล.อ. ประยุทธ์ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งสมัยถึงแม้ว่าจะมีผู้สังเกตการณ์กล่าวหาว่าการเลือกตั้งถูกคดโกงจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อรักษาอำนาจไว้ให้รัฐบาลทหาร ดังนั้นประยุทธ์จึงจัดการผ่านกลวิธีต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองยังคงดำรงอยู่ในอำนาจต่อไป เช่น การเอาตัวรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 4 หรือช่วงที่เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคของตัวเอง
แม้ว่าปัญหาจะรุมเร้า แต่ประยุทธ์ก็ยังไม่ละทิ้งอารมณ์ขันและความปั่นป่วน ณ ช่วงเวลาที่ยังทำงาน เช่น ครั้งหนึ่งเขาเคยหลบเลี่ยงคำถามจากนักข่าวด้วยการบอกปัดว่าให้ “ไปถามเขาสิ” ระหว่างที่ชี้ไปที่คัตเอาท์ขนาดเท่าตัวจริงของตัวเอง อีกครั้งหนึ่งคือช่วงเวลาที่นายกรัฐมนตรีรู้สึกขัดใจกับคำถามของนักข่าว เขาจึงเดินไปพ่นแอลกอฮอลล์ล้างมือใส่กลุ่มผู้สื่อข่าว
‘ผู้นำที่ล้มเหลว’
ช่วงเวลาที่ประยุทธ์ยังอยู่ในอำนาจ เขามองเห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของราชวงศ์อย่างเงียบสงบ ย้อนไปในปี 2557 นักวิเคราะห์กล่าวไว้ว่ารัฐบาลที่ทำการรัฐประหารของประยุทธ์ถูกแต่งตั้งขึ้นมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้การขึ้นครองราชย์เป็นไปได้อย่างราบรื่นในช่วงปีที่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรกำลังจะหมดลง
เดือนพฤษภาคม 2562 ประเทศไทยจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกในรอบ 70 ปี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติหลังจากช่วงเวลา 2 ปีครึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ก่อนเสด็จสวรรคต
ปี 2560 รัฐบาลทหารออกกฎหมายให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณมีอำนาจในการจัดการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่มีหน้าที่ดูแลที่ดินและสินทรัพย์ที่คาดว่ามีมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 1,037,700 ล้านบาท) แต่เพียงผู้เดียว
ความสัมพันธ์ของประยุทธ์กับราชวงศ์ไทยฉายให้เห็นชัดเจน เมื่อเกิดการประท้วงโดยเยาวชนคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2563 ผู้ประท้วงกว่าพันคนเข้าร่วมการเดินขบวนที่มีจุดยืนของข้อเรียกร้อง 3 ประการ นั่นคือ พล.อ. ประยุทธ์ต้องลาออก ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
เดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา ประยุทธ์ออกโรงเตือนกลุ่มผู้ประท้วงว่า “กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด” ซึ่งรวมไปถึงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียงจะถูกบังคับใช้ และในวันเดือนมีนาคม 2566 ประชาชนอย่างน้อย 238 รายที่รวมไปถึงเยาวชนหญิงอายุ 15 ปีถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าว
“การบังคับควบคุมตัวชายผู้หนึ่งให้ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลโรคจิต เพราะสวมเสื้อที่มีข้อความล่อแหลมเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เหล่านี้ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของรัฐบาลชุดนี้ที่มีทหารปกครอง”ศาสตรจารย์ซาคารี อาบูซา วิทยาลัยการสงครามแห่งชาติ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์กล่าวในบทวิเคราะห์ของเบนาร์นิวส์ในเดือนกรกฏาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเล่นเซปักตะกร้อระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป ที่สวนลุมพินี กรุงเทพฯ วันที่ 20 เมษายน 2566 (อธิษฐ์ พีระวงศ์เมธา/รอยเตอร์)
ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ในคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เดือนกรกฎาคม 2565 ว่า กลุ่มผู้ประท้วงต้องการให้ผู้ที่ขับไล่ประยุทธ์อ้างถึงอำนาจของประชาธิปไตยที่ถูกกดขี่อย่างต่อเนื่อง ความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ และการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด เนื่องจากประยุทธ์มีการจัดการกดขี่กลุ่มผู้ประท้วงอย่างเข้มข้น
“การเคลื่อนไหวนั้นถูกทำให้กระจัดกระจายและถูกปราบปรามด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง เครื่องมือทางกฎหมาย การข่มขู่และคุกคาม แต่ความไม่พึงพอใจและความคับข้องใจนั้นก็กำลังเดือดพล่านอยู่ภายใต้ฝาครอบของการกดขี่” ฐิตินันท์เขียน ทั้งยังกล่าวว่าระหว่างที่การประท้วงเริ่มซาลงไป ประเทศไทย “ก็ดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปสู่การพิพากษาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ที่จะถึงนี้”
พอแล้วรัฐบาลทหาร
เติมศักดิ์ เฉลิมพลานุภาพ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ยูโซฟ อิสฮัค กล่าวว่า การพิพากษานั้นเกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤษภาคม
“ผลการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2566 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยไม่เอา พล.อ. ประยุทธ์และคณะทำงานอีกต่อไปแล้ว นั่นคือพวกสาม ป. ที่เราคุ้นเคยกันดี” เติมศักดิ์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ หลังได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ดำรงตำแหน่ง วันที่ 11 มิถุนายน 2562 (สำนักงานโฆษกรัฐบาล/เอพี)
ซึ่ง เติมศักดิ์ หมายถึง ประยุทธ์ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอก อนุพงษ์ (“ป๊อก” เผ่าจินดา) อดีตผู้บังคับบัญชาทหารผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารในปี 2557
“ผมคงพูดได้ว่าพลเอก ประยุทธ์ คือผู้นำที่ล้มเหลว แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจในการบริหารจัดการเกือบเบ็ดเสร็จในช่วง 4 ปีแรกที่เป็นผู้นำฝ่ายทหาร การทำรัฐประหารของประยุทธ์ที่โค่นล้มรัฐบาลที่มีแนวร่วมของพรรคเพื่อไทยในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่จำเป็นเสียด้วยซ้ำที่จะพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น แต่ พลเอก ประยุทธ์ ก็ยังขยี้โอกาสทองที่ได้มาสำหรับการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่” เติมศักดิ์กล่าวต่อไป
เขาอ้างถึงการคอร์รัปชันครั้งใหญ่ของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารปี 2557 และเติมศักดิ์ยังเสริมว่า เรายังได้เห็น “ความรุนแรงและคอร์รัปชันทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะในวงการตำรวจ” ในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของประยุทธ์
นี่จึงเป็นสาเหตุที่รัฐบาลประยุทธ์มีผลงานด้านเศรษฐกิจที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ธนาคารโลกรายงานในปีที่ผ่านมาว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากที่สุดในเอเชียตะวันออกและภูมิภาคแปซิฟิก
“ความเหลื่อมล้ำของไทยพุ่งสูงขึ้น นับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา โดยส่วนใหญ่ของช่วงเวลานี้ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของทหารและผู้รับมอบอำนาจจากทหาร” ซาคารี อาบูซา อาจารย์จากวิทยาลัยการสงครามแห่งชาติกล่าว
ในสถานการณ์นี้ ปัญหาที่สืบเนื่องมาคือ "รัฐบาลประยุทธ์ได้สร้างหนี้สาธารณะมากกว่าทุกรัฐบาลในอดีตรวมกัน ทำให้เป็นรัฐบาลที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากสุด” ธัชชนก สัตยวินิจ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์เเละนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าว
“เป็นรัฐบาลที่มีการใช้งบทางการทหารมากที่สุด ซื้ออาวุธมากที่สุด ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ” ธัชชนก กล่าวกับเบนาร์นิวส์
เมื่อพิจารณามรดกทางการเมือง บางคนกล่าวว่าอย่างน้อย พลเอก ประยุทธ์ ก็ควรจะลงจากตำแหน่งเร็วกว่านี้
“ตัดสินใจช้าไปไหม” เกศวริน พฤกษามงคล วัย 24 ปี ประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ตอบแกมประชด
“ท่าทีแบบนี้มันคือ การอยู่ดูให้แน่ใจว่าจะไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วกะว่าเป็นตาอยู่เลย ลุ้นจนหยดสุดท้าย”