นักสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติเรียกร้องไทย 'ยกเลิก ม. 112'
2025.01.31
กรุงเทพฯ

ในสถานการณ์ที่นักกิจกรรม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไทยจำนวนหนึ่งถูกดำเนินคดี และจับกุมคุมขัง ด้วยกฎหมายหมิ่นเบื้องสูง หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 (ม. 112) ทำให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (United Nations - UN) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยยกเลิก หรือ แก้ไข ม. 112 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
“ในกฎหมายระหว่างประเทศ ระบุว่า บุคคลทั่วไปมีสิทธิที่จะวิจารณ์บุคคลสาธารณะ ซึ่งหมายรวมถึงพระมหากษัตริย์ และพวกเขามีสิทธิที่จะรณรงค์อย่างสันติให้ปฏิรูปสถาบันสาธารณะต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์” ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุ
แถลงการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่มีประชาชนถูกดำเนินคดี ม. 112 จากการชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างน้อย 276 คน จาก 308 คดี ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2563 ที่เริ่มมีการชุมนุมเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า มีผู้ถูกคุมขังจาก ม. 112 ถึง 33 คน และในนั้นมีถึง 22 คน ที่คดียังไม่สิ้นสุด แต่ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว
“กฎหมายหมิ่นเบื้องสูงของไทยทั้งมีความไม่ชัดเจน และมีบทลงโทษที่รุนแรง เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงศาลตีความกฎหมายได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งนำไปสู่การคุมขัง, ดำเนินคดี และลงโทษคนกว่า 270 คน ตั้งแต่ปี 2563 ขณะเดียวกัน จำเลยหลายคนต้องถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลายาวนาน” ผู้เชี่ยวชาญ ระบุ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิ ยกกรณี อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมการเมือง ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งอานนท์ถูกตัดสินจำคุกรวม 18 ปี 10 เดือน 20 วัน จาก คดี ม. 112 รวม 6 คดี ที่เกิดจากการปราศรัยและแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์
ปัจจุบัน อานนท์ยังเหลือคดี ม. 112 อีก 8 คดี ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
“การใช้ ม. 112 เพื่อลงโทษนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้เห็นต่างทางการเมือง นักกิจกรรม สื่อมวลชน หรือกระทั่งประชาชนธรรมดา เพียงเพราะพวกเขาแสดงความเห็นอย่างสันติ ได้สร้างผลกระทบอันน่าหวาดกลัว คือการปิดกั้นการแสดงความเห็นทางการเมืองอันชอบด้วยกฎหมาย รัฐบาลไทยควรยกระดับกฎหมายอาญาให้เทียบเท่ากับกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งจะสอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน” แถลงการณ์ ระบุ
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการดำเนินคดี และจำคุก ผู้ต้องหา และจำเลยคดี ม. 112 ทันที
“ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไม่ควรมีกฎหมาย เช่น ม. 112” ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ระบุ
ม. 112 ถูกตีความกว้างไป และปัญหาคือ มักไม่ให้ประกันตัว
“ตั้งแต่มีการรัฐประหารโดย คสช. ปี 2557 ม. 112 ซึ่งคุ้มครองเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทน ก็ถูกตีความเกินเลยออกไป จนถึงขนาดวิจารณ์กษัตริย์ในอดีต หรือวิจารณ์สถาบันฯ ก็ถูกเอาผิด เพราะหากตำรวจ อัยการ หรือศาลตีตกคดีเหล่านี้ อาจถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี” สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์
สุณัย ชี้ว่า การกำหนดให้ ม. 112 อยู่ในกฎหมายหมวดความมั่นคงของรัฐทำให้บุคคลใดก็ได้สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษคดี ม. 112 แม้ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้ปริมาณคดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน
“ปรากฏการณ์ไม่ให้ประกันตัว ทำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลย เสมือนถูกลงโทษไปก่อนที่จะมีคำตัดสิน เพราะเขาต้องถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดีเป็นเวลายาวนาน ทั้งที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ด้วยซ้ำว่ากระทำความผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน” สุณัย ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ศาลสั่งคุกทนายอานนท์ อีกคดี 2 ปี 8 เดือน ปราศรัยม็อบแฮรี่พอตเตอร์ ผิด ม. 112
- เพื่อไทยล้มละลายทางความเชื่อ เพราะไม่นิรโทษกรรม ม. 112
- ไผ่ ดาวดิน-ครูใหญ่ ขอนแก่น ถูกศาลตัดสินจำคุก คดี ม. 112
แม้องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล นักวิชาการ และนักสิทธิมนุษยชน จำนวนมากจะเห็นตรงกันว่า ม. 112 เป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจำนวนมาก ก็มักยืนยันว่า ม. 112 ไม่ควรถูกยกเลิก หรือกระทั่งแก้ไข เพราะทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครองประมุขหรือผู้นำของตน
สำหรับประเด็นนี้ รศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่า สิ่งที่ทำให้ ม. 112 แตกต่างจากกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศอื่น คือ โทษที่รุนแรงกว่า และการบังคับใช้ที่กว้างขวางกว่า
“ถ้าดูการใช้ ม. 112 หรือกฎหมายคุ้มครองประมุขของไทยโทษถือว่าสูงมากหากเทียบกับของประเทศอื่น และหลายประเทศก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายจริงมานานแล้ว ซึ่งหมายความว่า เขาปล่อยให้เป็นเสรีภาพในการแสดงความเห็น จะลงโทษก็ต่อเมื่อพยายามก่อกบฏหรือลอบทำร้ายประมุข โดยภาพรวมถ้าเพียงการแสดงความเห็นไปในทางด้านลบต่อพระมหากษัตริย์ มักจะเป็นการกระทำที่ประเทศต่างๆ ไม่ค่อยเอาผิดแล้ว” รศ. สมชาย กล่าว
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกลซึ่งได้ สส. มากที่สุดจากการเลือกตั้งปี 2566 เพราะพรรครณรงค์หาเสียงด้วยนโยบายแก้ไข ม. 112 ซึ่งศาลเห็นว่า การแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ กระทบต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อ่านข้อเสนอแก้ ม. 112 ของยูเอ็น บนเวทีปราศรัยก็โดน คดี ม. 112
“ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไม่ควรมีกฎหมาย เช่น ม. 112” ข้อเรียกร้องเช่นนี้ เคยถูกสหประชาชาติออกแถลงการณ์มาแล้วในปี 2560 และใจความลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ ถูกใช้ในการปราศรัยบนเวที #29พฤศจิกาไปหน้าราบ11 “ปลดอำนาจศักดินา” ที่หน้ากองพันทหารราบที่ 11 เขตบางเขน เมื่อปี 2563
ให้หลัง 1 ปี พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ ซึ่งนำข้อห่วงกังวลของสหประชาชาติต่อกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงมาอ่านให้กับผู้ร่วมชุมนุมฟังในครั้งนั้น ได้ถูกดำเนินคดีด้วย ม. 112 เสียเอง และถูกปฏิเสธคำขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ 4 ครั้ง ระหว่างที่คดียังอยู่ในการพิจารณาของศาลอาญา
“งานสิทธิมนุษยชนเป็นงานที่เราทำมาทั้งชีวิต สหประชาชาติแสดงความกังวลเรื่อง ม. 112 มาตั้งแต่ปี 2011 (พ.ศ. 2554) เราคิดว่า ในบริบทนั้น คนในม็อบอาจจะไม่เคยได้ยินข้อเรียกร้องนี้ เราจึงเอาข้อเสนอของสหประชาชาติไปถ่ายทอด เราคิดว่ามันไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย แต่กลายเป็นว่า เราโดนฟ้องในปี 2021 (พ.ศ. 2564) ตอนนี้ คดีก็ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานในศาล” พิมพ์สิริ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

คดีของ พิมพ์สิริ ไม่ใช่คดี ม. 112 แปลก ๆ คดีแรกที่เกิดขึ้น ก.ย. 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก จตุพร แซ่อึง หรือนิว 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานแต่งกายเลียนแบบพระราชินีในการเดินแฟชั่นโชว์ของกลุ่มราษฎร เมื่อเดือน ต.ค. 2563
ทิวากร วิถีตน ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 6 ปี จากคดี ม. 112 เพราะใส่เสื้อยืดที่มีข้อความว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อเดือน มิ.ย. 2563 แม้ศาลชั้นต้นเคยยกฟ้องคดีนี้มาแล้วก็ตาม
“สำหรับเรา โดยหลักการคำพูดทุกประเภทไม่ควรมีโทษทางอาญา ควรมีโทษเฉพาะทางแพ่ง แต่ถ้ารัฐมองว่าประมุขของรัฐควรได้รับความคุ้มครองอีกระดับ ก็สามารถออกกฎหมายเช่น พรบ.ห้ามคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง ออกมาเฉพาะและควรกำหนดให้ชัดเจนว่า คำพูดประเภทไหนสร้างความเสียหายทางกายภาพได้จริง ๆ และต้องพิสูจน์ทางกฎหมายให้ได้ด้วยเช่นกัน” พิมพ์สิริ กล่าว
ขณะที่ ด้านความรุนแรง มงคล ถิระโคตร หรือบัสบาส ถูกศาลพิพากษาจากคดี ม. 112 ทั้งหมด 3 คดี รวมโทษจำคุก 54 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นการตัดสินโทษจำคุกคดี ม. 112 ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
ก่อนหน้านั้น ศาลอาญาเคยพิพากษาให้จำคุก อัญชัญ ปรีเลิศ เป็นวลา 87 ปี แต่ลดโทษเหลือ 43 ปี 6 เดือน จากการนำคลิปเสียงรายการวิทยุใต้ดินไปโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งศาลเห็นว่า ข้อมูลในคลิปขัดต่อ ม. 112 ปัจจุบัน อัญชัญเลือกที่จะไม่อุทธรณ์คดี และถูกจำคุกมาแล้วร่วม 4 ปี
“การใช้ ม. 112 แง่หนึ่งสะท้อนว่า มีความเห็นที่แตกต่างต่อการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างกว้างขวาง แง่หนึ่งก็สะท้อนว่า รัฐไม่สามารถจัดการด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ จึงใช้วิธีลงโทษมากำกับ การกระทำแบบนี้ไม่สู้จะเป็นประโยชน์มากเท่าไหร่ อาจจะทำให้คนกลัว แต่จะไม่ทำให้คนหันกลับมาเทิดทูนสถาบัน รัฐควรที่จะใช้การสื่อสารชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อทำให้สถาบันดำรงอยู่อย่างมั่นคงและชอบธรรมมากกว่า” รศ. สมชาย กล่าวทิ้งท้าย
วรรณา แต้มทอง ในเชียงใหม่ ร่วมรายงาน