ประเทศไทยเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยฯ ชายแดนใต้คนใหม่
2018.10.17
ยะลา
ทางการไทยได้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะเจรจาสันติสุขชายแดนใต้เป็นนายทหารนอกราชการอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อีกนายหนึ่ง คือ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์
เมื่อพิจารณาโดยผิวเผินแล้ว ดูเหมือนเป็นการยื่นหมูยื่นแมวกับทางการมาเลเซีย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายมหาเธร์ โมฮัมมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเพิ่งสับเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติสุขจากนายอาหมัด ซัมซามิน บิน ฮาซิม ไปเป็น นายอับดุล ราฮิม โมห์ด นูร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจ ซึ่งปฏิบัติงานด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างเอาจริงเอาจัง และใช้เวลาส่วนใหญ่ในตำแหน่งหน้าที่เพื่อปราบปรามความไม่สงบ ที่เกิดจากพรรคคอมมิวนิสต์ตามชายแดนไทย-มาเลเซียในช่วงทศวรรษ 2523
ทว่าแหล่งข่าวในรัฐบาลกล่าวว่า ทางกรุงเทพฯ มีเหตุผลหลายข้อในการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ อาทิ ตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พล.อ.อักษรา เกิดผลมีผลงานที่ไม่เข้าตา เนื่องจากไม่สามารถสร้างพัฒนาการที่เอื้อประโยชน์ต่อการพูดคุยเพื่อสันติสุข เพื่อยุติสถานการณ์ความไม่สงบ
และการที่พล.อ.อักษรา ยังถูกมองว่าล้มเหลวในการพยายามเกลี้ยกล่อมขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (บีอาร์เอ็น) ที่สามารถควบคุมกองกำลังรบส่วนใหญ่ในพื้นที่ ให้มาร่วมโต๊ะเจรจากับฝ่ายไทย และกลุ่มมาราปาตานี องค์กรร่มที่ประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมลายูปาตานีหลายกลุ่มที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน
สมาชิกของกลุ่มมาราปาตานี ไม่ได้รับการรับรองจากสภาปกครองสูงสุดของบีอาร์เอ็น แหล่งข่าว จากกลุ่มก่อความไม่สงบบอกกับเรา
ในสัปดาห์นี้ โฆษกขององค์กรมาราปาตานีกล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า มีการขยาย องค์กรฯ เนื่องจากมีองค์กรใหม่เข้ามาร่วม 3 องค์กร แต่จะชะลอการพูดคุยกับประเทศไทยไปจนกว่า ไทยจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งคาดว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
นอกไปจากไม่มีผลงานโดดเด่นแล้ว ทีเด็ดอย่างเดียวที่พล.อ.อักษรามีอยู่คือ “พื้นที่ปลอดภัย” ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่กำหนดพื้นที่หยุดยิง โดยมีความหวังว่า ในภายภาคหน้าจะกลายเป็นแบบจำลองในการปกครองร่วมกันอย่างสันติสุขระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้เห็นต่าง
ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงที่ว่าพล.อ.อักษราเคยประคารมอย่างยืดเยื้อกับ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช ซึ่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ณ เวลานั้น ยังไม่มีผลดีต่อตัวพล.อ.อักษราเองหรือฝ่ายไทย พลเอกทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในด้านอำนาจหน้าที่และนโยบาย จนถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องก้าวเข้ามาช่วยประสานรอยร้าว
แม้ว่าผู้นำฝ่ายไทยมีเหตุผลที่ดีหลายข้อในการเปลี่ยนตัว พล.อ.อักษรา จากตำแหน่งดังกล่าว แต่ พล.อ.อุดมชัยเองก็มีการปฏิบัติงานหลายประการที่อย่างน้อยที่สุดอยู่ในการพิจารณาของฝ่ายทหารเหมือนกัน
ชื่อเสียงกระฉ่อน
ในฐานะอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 พล.อ.อุดมชัยมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการล่าและสังหารกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เสนอชื่อ พล.อ.อุดมชัยให้รับตำแหน่งนี้กลับไม่สนใจต่อประเด็นที่ว่า บทบาทของหัวหน้าคณะเจรจานั้นสำคัญต่อกระบวนการเพื่อสันติสุข ต้องอาศัยการใช้สามัญสำนึกและเหตุผลในการจัดการกับสถานการณ์ที่อ่อนไหว
แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยกล่าวว่า บางทีเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ความจริงที่ว่าพล.อ.อุดมชัยยังเป็น “ที่ปรึกษา” ของกองทัพภาคที่ 4 อยู่ จึงมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างเสริมฐานเสียงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ให้แก่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพันธมิตรของทหารและได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้า
แม้การเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าคณะพูดคุยฯ ของรัฐบาลไทยอาจไม่ช่วยสร้างเสริมฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งถัดไปโดยตรง แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของพล.อ.อุดมชัย และให้ความชอบธรรมที่จะกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนใต้ช่วงระหว่างฤดูกาลเลือกตั้ง
นอกจากนั้น ก็ไม่มีใครคาดหวังอย่างจริงจังว่า พล.อ.อุดมชัย จะดำเนินการใดๆ ที่ผิดแผกไปจากแม่ทัพภาคที่ 4 คนอื่น ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เห็นเป็นรูปธรรม เพราะการตัดสินใจดังกล่าว มักจะมีขึ้นที่กรุงเทพฯ
ช่วงเวลาที่ พล.อ.อุดมชัยปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดปัตตานีเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังในพื้นที่นั้น พล.อ.อุดมชัยเป็นหัวเรือใหญ่ในโครงการ "ปรับทัศนคติ" ที่ดูแลเยาวชนชาวมลายูปาตานีประมาณ 400 คนที่ถูกบังคับให้เข้า "ค่ายฝึกอบรมอาชีพ" นอกพื้นที่ชายแดนใต้ภายใต้การกำกับดูแลของทหาร ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วคือโครงการ "ปรับทัศนคติ"
ในเดือนตุลาคม 2550 ศาลไทยตัดสินว่า ค่ายเหล่านี้กระทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลโดยมิชอบ กองทัพภาคที่ 4 ตอบรับโดยการประกาศว่าบุคคลเหล่านั้นเป็น “บุคคลที่ห้ามกลับบ้าน” ในพื้นที่ชายแดนใต้
ยิ่งไปกว่านั้น นักรณรงค์ในพื้นที่ยังจำได้ดีถึงการเสียชีวิตของสุไลมาน แนซะ เด็กหนุ่มผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบ ซึ่งมีรายงานว่าถูกทรมานจนเสียชีวิต ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อันเป็นค่ายทหารสำคัญในพื้นที่นั้น ขณะที่พล.อ.อุดมชัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาค
กรณีของสุไลมานและรายงานข่าวอื่น ๆ เกี่ยวกับการทรมานได้จุดชนวนความสนใจจากสื่อมวลชนนานาชาติให้เดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่พล.อ.อุดมชัยยืนกรานปฏิเสธว่าทหารของตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทรมานผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด
อีกกรณีหนึ่งคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2555 เมื่อทหารพรานไทยยิงปืนเข้าใส่รถบรรทุกที่กำลังนำชาวบ้านไปงานละหมาดศพของญาติในอำเภอหนองจิก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ซึ่งรวมถึงชายชราและวัยรุ่น และบาดเจ็บอีก 5 คน
การวิเคราะห์ท้ายสุดก็คือ การเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยฯ ครั้งนี้เพียงสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการสร้างสันติสุขหรือขั้นตอนที่นำไปสู่สันติสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด หากเป็นการช่วยหนุนรัฐบาลทหารในกรุงเทพฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองนั่นเอง
ดอน ปาทาน เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและการพัฒนาให้แก่องค์กรระหว่างประเทศ โดยปฏิบัติงานอยู่ในประเทศไทย ข้อคิดเห็นที่แสดงไว้ในบทวิเคราะห์นี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ของเบนาร์นิวส์