ฝ่ายค้านคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ผู้แพ้อาจได้ครองอำนาจ
2023.05.16

เสียงของประชาชนชาวไทยที่ต่อต้านการควบคุมของรัฐบาลทหารเป็นที่ประจักษ์ เมื่อดูจากผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้พรรคก้าวไกลกวาดที่นั่งในรัฐสภาไป 152 ที่นั่ง และพรรคเพื่อไทยสามารถคว้าไปได้ถึง 141 ที่นั่ง
ชัยชนะของฝ่ายค้านอาจถือได้ว่าเป็นการฉีกหน้าพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ที่เข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาลด้วยการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ซึ่งหมายถึงพรรครวมไทยสร้างชาติของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐที่นำโดย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งได้ไป 76 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่งในสภาล่าง
เสียงประชาชนส่วนใหญ่ราว 70% กลับเลือกพรรคฝ่ายค้าน และประชาชนเพียง 1% เท่านั้นเลือกพรรคพลังประชารัฐ ในขณะที่ 13% เลือกพรรคของ พลเอก ประยุทธ์ นี่เป็นการปฏิเสธบทบาทของทหารที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองอย่างชัดเจน
ด้านพรรคก้าวไกลมีผลงานเกินความคาดหมายที่สุด โดยสามารถดึงคะแนนเสียงจากฐานเดิมของพรรคเพื่อไทยไปได้ และพรรคเพื่อไทยเองก็ได้เสียที่นั่งในฐานเสียงภาคเหนือขิงตน นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังกวาดเก้าอี้ ส.ส. แบ่งแขตในกรุงเทพฯ ไปอย่างราบคาบ โดยคว้าไป 32 ที่นั่ง จากทั้งหมด 33 ที่นั่ง ในปีที่ผู้คนต่อต้านผู้ที่อยู่ในอำนาจและไฝ่หาการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง พรรคเพื่อไทยถูกมองว่ายังยึดติดกับนโยบายเดิม ๆ ด้วยการเสนอนโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ก้าวหน้าเพียงพอ
ขณะที่พรรคอื่น ๆ ได้รับชัยชนะในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่สามารถกอบกู้ภาพลักษณ์ด้านลบ จากการสนับสนุนรัฐประหารในปี 2549 และความสัมพันธ์ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารตั้งแต่นั้นได้ โดยหลังทราบผลการเลือกตั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อรับผิดชอบต่อความล้มเหลวของพรรคในศึกเลือกตั้งครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม พรรคภูมิใจไทยยังคงทำได้ดีในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต โดยเฉพาะในฐานที่มั่นของพรรค แต่กลับล้มเหลวในคะแนนจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นักการเมืองในพื้นที่มีฐานเสียงสนับสนุนของตนเอง และประชาชนเลือกที่ตัวบุคคล แต่การสนับสนุนพรรคและนโยบายของพรรคมีน้อย
อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป
หากประเทศไทยมีระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์แบบปกติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล จะได้รับโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลร่วม โดยพิธาให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยและอีกห้าพรรคฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมที่ประกอบด้วยหกพรรคการเมือง
แต่ประเทศไทยมีระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ที่ไม่ปกติ ดังเช่นในปี 2562 ที่พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง แต่กลับไม่ได้รับโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล
สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีจำนวน 250 คนที่ถูกแต่งตั้งโดยทหาร สามารถลงคะแนนเสียงในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทหารในการกีดกันฝ่ายตรงข้าม
วุฒิสภาดังกล่าวประกอบด้วย ผู้นำทหารระดับสูงหกคน และวุฒิสมาชิก 1 ใน 3 เป็นข้าราชการทหาร ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพ แม้ว่าในหลักการ ส.ว. สามารถลงชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีในฐานะบุคคลได้อย่างอิสระ
ขณะที่ ส.ว. อื่น ๆ ได้แก่ ทหารเกษียณ และกลุ่มอนุรักษ์นิยมรอยัลลิสต์ ซึ่งพวกเขาได้แสดงท่าทีแล้วว่าจะไม่สนับสนุนพิธาและพรรคก้าวไกล ตัวอย่างเช่น ส.ว. กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ที่ได้ระบุว่า พิธายังไม่ได้แสดงความภักดีที่เพียงพอต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลของฝ่ายค้าน จึงจำเป็นต้องมีการสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรถึง 376 เสียง เพื่อเอาชนะการปฏิเสธของ ส.ว.
ท่ามกลางอุปสรรคครั้งใหญ่นี้ พิธายังยืนยันว่า ส.ว. ต้องสนับสนุนความปรารถนาของประชาชน
นั่นฟังดูไร้เดียงสา เพราะวุฒิสภาถูกตั้งขึ้นมาเพื่อแต่งตั้งสมาชิกให้มีบทบาทเดียวคือ รักษาอำนาจแบบอนุรักษ์นิยมและสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะที่มี ส.ว. จำนวนหนึ่งได้แสดงความเห็นว่าจะสนับสนุนพรรคที่ได้รับเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าคงเป็นไปได้ยากที่ ส.ว.ที่เหลือจะคล้อยตาม
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปรบมือให้ผู้สนับสนุนระหว่างการรณรงค์หาเสียงครั้งสุดท้าย ในกรุงเทพฯ วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 (ศักดิ์ชัย ลลิต/เอพี)
คำถามคือ เหตุใดที่ชนชั้นนำที่สนับสนุนทหารและสถาบันพระมหากษัตริย์ จะยอมสละบทบาทในการที่สามารถยกมือโหวตรับรองนายกรัฐมนตรีได้ เพราะการทำเช่นนั้นจะเท่ากับการยื่นอำนาจให้กับฝ่ายตรงข้าม ที่สนับสนุนการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ)
และเหตุใดที่ ส.ว. จะต้องสนับสนุนพรรคที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกจัดทำโดยทหารในปี 2560 ทำไมทหารถึงต้องยอมให้พรรคที่มีแผนที่จะยุติการเกณฑ์ทหารเข้ามาปกครอง
สำหรับชนชั้นนำเหล่านั้น ประชาธิปไตยทำให้อำนาจของพวกเขาสั่นคลอน ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดขึ้นของสาธารณรัฐ เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีทางยอมละวิถีการรวบอำนาจนี้ไป
พิธามีโอกาสถูกตัดสิทธิ์หรือไม่
พิธา และผู้นำคนอื่น ๆ ของพรรคก้าวไกล มีคดีความทางกฎหมายติดตัวอยู่ และเป็นไปได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่ได้เป็นหน่วยงานอิสระ อาจตัดสิทธิ์คนใดก็ได้ และที่สำคัญคือ อาจมีการสั่งยุบพรรคได้เช่นกัน หลังจากที่ฝ่ายกฏหมายของพรรคพลังประชารัฐได้ขอให้ศาลดำเนินการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์ฟ้องใครก็ได้ หากเข้าข่ายละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ศาลได้สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่หลังจากฝ่ายค้านได้ชนะการเลือกตั้งในปี 2562 และตัดสิทธิ์ทางการเมืองนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ก่อนจะตามไล่ล่าเขาด้วยคดีความมากมาย
อย่างไรก็ตาม กกต. มีเวลา 60 วันในการดำเนินการสอบสวนและอาจตัดสิทธิ์การเลือกตั้ง ส.ส.หรือยุบพรรคหากพบปัญหาสำคัญ แต่ที่ผ่านมากกต.และศาลไม่เคยยุบพรรคที่สนับสนุนทหาร แม้จะมีพฤติกรรมผิดปกติและก่ออาชญากรรมก็ตาม
เชื่อว่ากกต. จะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป โดยจะใช้ทุกวิธีการด้วยอำนาจที่มีอยู่ น่าเสียดายที่กกต. ที่ควรได้รับความเคารพในการดำเนินการเลือกตั้ง ก็ยังตกเป็นเครื่องมือที่สามารถทำลายการเลือกตั้งเสียเอง
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ความหวังของรัฐบาลที่นำโดยฝ่ายค้านตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่ากองทัพ สมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเป็นผู้แสดงเจตนาดีที่จะรับรองพรรคด้วยอำนาจที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชน และไม่ปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาเอง
คำถามคือฝ่ายค้านมีช่องทางในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่ซับซ้อน
พิธา ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ที่จะไม่จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใด ๆ ที่เชื่อมโยงกับกองทัพหรือรัฐประหารในปี 2557
ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลร่วมแสดงความยินดีในผลการเลือกตั้ง ในกรุงเทพฯ วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 (จอร์จ ซิลวา/รอยเตอร์)
พรรคร่วมฝ่ายค้านของก้าวไกลอาจลองติดต่อพรรคภูมิใจไทยที่มีถึง 70 ที่นั่ง ได้คะแนนเลือกตั้งเป็นอันดับ 3 และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคนั้นเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยมาก่อน ก็น่าจะพูดคุยกันได้
แต่อนุทินเองก็อาจปฏิเสธนโยบายการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล และก็ไม่ชัดเจนว่าพิธาจะประนีประนอมกับประเด็นนี้ในเร็ว ๆ นี้หรือไม่
นอกจากนี้ อนุทินจะต้องถูกชนชั้นนำรอยัลลิสต์กดดัน ไม่ให้รับข้อเสนอนี้และยื่นข้อเสนอให้เขาไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลฝั่งอนุรักษ์นิยม จึงกล่าวได้ว่า พรรคภูมิใจไทยจะมีอำนาจในการชี้ขาดเกมเลือกตั้งครั้งนี้
กล่าวโดยสรุปคือ แม้พรรคฝ่ายค้านเดิมจะมีชัยชนะด้วยเสียงเลือกตั้งที่มากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตั้งพรรคร่วมรัฐบาลได้ ฝั่งอนุรักษ์นิยมซึ่งรวมถึงพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนว่าจะมีสิทธิ์ตั้งรัฐบาลได้มากกว่าด้วยการสนับสนุนของส.ว. แต่ก็อาจนำมาซึ่งการประท้วงที่ยิ่งใหญ่บนถนน
แนวร่วมอนุรักษ์นิยมระหว่างภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคไทยสร้างชาติ และพรรคประชาธิปัตย์ มีแนวโน้มที่จะจัดตั้งรัฐบาลโดยได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภาอย่างเต็มที่
จึงอาจกล่าวได้ว่าในขณะที่ฝ่ายค้านได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ แต่การเมืองไทยกลับเป็นฝ่ายแพ้
ซาคารี อาบูซา เป็นอาจารย์ประจำที่เนชั่นแนล วอร์ คอลเลจ และอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยจอร์จ ทาวน์ ในกรุงวอชิงตัน ความคิดเห็นที่แสดงไว้ในบทความนี้เป็นของผู้เขียนเอง และไม่ได้สะท้อนถึงจุดยืนของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เนชั่นแนล วอร์ คอลเลจ มหาวิทยาลัยจอร์จ ทาวน์ หรือ เบนาร์นิวส์